หน้าแก่ ดึงหน้าครั้งเดียวจบไหม? ไขทุกข้อสงสัยที่คุณต้องรู้!
เมื่อเวลาผ่านไป ใบหน้าของเราย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่จะดีแค่ไหนถ้ามีวิธีที่ช่วยให้คุณย้อนวัยกลับไปอีก 10-15 ปีได้ในครั้งเดียว! หลายคนสงสัยว่า หน้าแก่ ดึงหน้าครั้งเดียวจบไหม? บทความนี้จะพาคุณไปค้นหาคำตอบ พร้อมไขข้อสงสัยเกี่ยวกับการดึงหน้าชั้นลึก เทคนิคการดูแลหลังผ่าตัด และเคล็ดลับยืดอายุผลลัพธ์ให้อ่อนเยาว์ยาวนานที่สุด มาเริ่มต้นเส้นทางสู่ใบหน้าใหม่ที่สดใสและเปล่งประกายไปพร้อมกัน!
เข้าใจสาเหตุของความชราบนใบหน้า
เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ใบหน้าของเราจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด กระบวนการนี้เริ่มจากเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนังเสื่อมสภาพลง ทำให้เกิดริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย และสูญเสียความกระชับ นอกจากนี้ ปัจจัยภายนอก เช่น แสงแดด มลภาวะ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต ยังสามารถเร่งให้ใบหน้าดูแก่เร็วยิ่งขึ้นได้
ศัลยกรรมดึงหน้า คืออะไร?
ศัลยกรรมดึงหน้า (Facelift) เป็นการผ่าตัดเพื่อยกกระชับผิวหนังและเนื้อเยื่อที่หย่อนคล้อยให้ตึงขึ้น ลดริ้วรอยลึกและเสริมโครงสร้างใบหน้าให้กลับมาเต่งตึงและอ่อนเยาว์อีกครั้ง ปัจจุบันมีหลายเทคนิคตั้งแต่การดึงผิวหนังเพียงบางส่วน จนถึงการดึงเนื้อเยื่อชั้นลึกเพื่อผลลัพธ์ที่ถาวรกว่า
ดึงหน้าชั้นลึก (Deep Plane Facelift) คืออะไร?
เทคนิคการดึงหน้าชั้นลึกพิเศษ (Deep Plane Facelift) เป็นการผ่าตัดยกกระชับที่ลึกใต้ชั้น SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นเนื้อเยื่อที่อยู่ระหว่างกล้ามเนื้อกับไขมัน ร่วมกับการปลดล็อคเส้นเอ็นบางจุดที่จำกัดระยะการดึงหน้าออกไป เทคนิคนี้ช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ และผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนานถึง 10-15 ปี เพราะแก้ปัญหาจากรากลึก ไม่ใช่เพียงแค่ชั้นผิวเท่านั้น
ดึงหน้าครั้งเดียวอยู่ได้กี่ปี?
โดยทั่วไป ผลลัพธ์จากการดึงหน้าชั้นลึกเทคนิค SMAS จะอยู่ได้ประมาณ 5-10 ปี ส่วนดึงหน้าชั้นลึกเทคนิค Deep Plane Facelift จะอยู่ได้ประมาณ 10-15 ปี ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุขณะที่ทำศัลยกรรม ศักยภาพการฟื้นตัวของร่างกาย และการดูแลตัวเองหลังผ่าตัด อย่างไรก็ตาม กระบวนการชราธรรมชาติยังคงดำเนินต่อไป ทำให้เมื่อเวลาผ่านไป อาจมีการหย่อนคล้อยเกิดขึ้นใหม่ในระดับหนึ่ง แต่คนที่ผ่านการดึงหน้ามาแล้วจะคงความอ่อนเยาว์ได้นานกว่าเมื่อเทียบกับคนที่ไม่เคยผ่านการผ่าตัดมาก่อนอย่างชัดเจน
ทำไมดึงหน้าอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ?
แม้ว่าการดึงหน้าจะเป็นวิธีที่ช่วยยกกระชับผิวได้อย่างดีเยี่ยม แต่บางจุดที่ซับซ้อนอย่างรอบดวงตา บางเคสอาจต้องการการผ่าตัดเพิ่มเติมเพื่อเก็บรายละเอียดให้สมบูรณ์แบบ เช่น หนังตาหย่อน, กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง หรือถุงใต้ตาที่นูนออกมา ซึ่งการดึงหน้าเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ไขได้ทั้งหมด
ศัลยกรรมรอบดวงตาร่วมกับการดึงหน้า
แม้ว่าการดึงหน้าจะช่วยยกกระชับบริเวณแก้ม แนวขากรรไกร และลำคอได้ดีเยี่ยม แต่บริเวณรอบดวงตามักจะต้องการการแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น เช่น
- การตัดแต่งหนังตา (Blepharoplasty) เมื่ออายุมากขึ้น หนังตาบนและหนังตาล่างจะหย่อนคล้อย การตัดแต่งหนังตาช่วยให้ดวงตาดูเปิดกว้าง สดใส และอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
การแก้ไขกล้ามเนื้อตา - ในบางกรณีที่กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง การผ่าตัดเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อตาเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อป้องกันอาการตาปรือและทำให้ดวงตาดูสดใส
- การตัดถุงใต้ตา ถุงใต้ตานูนเด่นเป็นหนึ่งในปัญหาที่ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้า การตัดถุงใต้ตาช่วยให้ใบหน้าดูสดชื่นและลดความหมองคล้ำรอบดวงตา
การทำศัลยกรรมรอบดวงตาควบคู่กับการดึงหน้า จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ใบหน้าโดยรวมดูอ่อนเยาว์และสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น หากใครมีข้อสงสัยเกียวกับศัลยกรรมรอบดวงตา เพื่อแก้ไขปัญหาตาตก อ่านต่อที่บทความต่อไปนี้ได้เลยค่ะ หนังตาตก หางตาตก ปัญหายอดฮิตของผู้สูงวัย
การฟื้นฟูผิวหลังดึงหน้า สำคัญแค่ไหน?
แม้การดึงหน้าจะช่วยยกกระชับโครงสร้างใบหน้าได้เป็นอย่างดี แต่ไม่ได้แก้ปัญหาผิวที่เกิดจากความชราในมิติอื่น ๆ ดังนั้นสุขภาพผิวก็ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างความอ่อนเยาว์ การดูแลผิวหลังดึงหน้าอย่างต่อเนื่องจึงจำเป็น เช่น
- การใช้ครีมบำรุงผิว เลือกครีมที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามิน C และ E ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดการสร้างเม็ดสี จุดด่างดำ และฟื้นฟูสภาพผิวให้ชุ่มชื้นแลดูสุขภาพดี
- การทาครีมกันแดดทุกวัน รังสียูวีจากแสงแดดเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวเสื่อมสภาพ การทาครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไปจึงเป็นสิ่งจำเป็นทุกวัน แม้ในวันที่อยู่ในร่ม
การทำหัตถการฟื้นฟูผิว - หัตถการเสริม เช่น เลเซอร์ยกกระชับ การฉีดยากระตุ้นการสร้างคอลลาเจน การฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้น PRP สามารถช่วยฟื้นฟูและคงสภาพผิวให้ตึงกระชับได้ยาวนานขึ้น
การดูแลผิวควบคู่ไปกับการดึงหน้าจะช่วยยืดอายุของผลลัพธ์ และทำให้ใบหน้าดูสดใสเปล่งปลั่งยิ่งขึ้น
เคล็ดลับยืดอายุผลลัพธ์หลังการดึงหน้า
เพื่อให้ผลลัพธ์ของการดึงหน้าอยู่ได้นานที่สุด ควรปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้
- หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด โดยใช้หมวกปีกกว้างและทาครีมกันแดดเป็นประจำ
- รักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ การโยโย่น้ำหนักสามารถทำให้ใบหน้าหย่อนคล้อยได้เร็วขึ้น
- ไม่สูบบุหรี่ เพราะบุหรี่ทำลายคอลลาเจนและทำให้ผิวเสื่อมสภาพเร็ว
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้เซลล์ผิวฟื้นฟูตัวเองอย่างเต็มที่
- พบแพทย์เพื่อติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินความคงสภาพของผลลัพธ์
ใครบ้างที่เหมาะกับการดึงหน้า?
โดยทั่วไป ผู้ที่เหมาะกับการดึงหน้า ได้แก่
- ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป และเริ่มมีความหย่อนคล้อยบริเวณใบหน้าและลำคอ
- ผู้ที่สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวร้ายแรง
- ผู้ที่มีความคาดหวังที่สมเหตุสมผล และเข้าใจถึงขอบเขตของผลลัพธ์
การเข้ารับการประเมินจากศัลยแพทย์ตกแต่งใบหน้าโดยตรง เป็นขั้นตอนที่สำคัญเพื่อพิจารณาว่าคุณเหมาะสมกับการดึงหน้าหรือไม่
ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนดึงหน้า
การเตรียมตัวอย่างถูกต้องก่อนเข้ารับการดึงหน้าจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- ตรวจสุขภาพโดยละเอียด การตรวจร่างกาย เช่น ตรวจเลือด และการประเมินสมรรถภาพหัวใจ เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อความปลอดภัยในการผ่าตัด
- งดการใช้ยาบางประเภท ยาบางชนิด เช่น แอสไพริน วิตามิน E หรือสมุนไพรบางชนิด อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเลือดออก จึงควรงดก่อนผ่าตัดตามคำแนะนำของแพทย์
- งดบุหรี่และแอลกอฮอล์ล่วงหน้า เพื่อเสริมการไหลเวียนเลือดและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
- เตรียมตัวด้านจิตใจ เข้าใจถึงกระบวนการพักฟื้นและผลลัพธ์ที่ต้องใช้เวลาในการเห็นผลอย่างเต็มที่
ขั้นตอนการผ่าตัดดึงหน้า
- ระยะเวลาในการผ่าตัด การดึงหน้าโดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 3-6 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับเทคนิคและขอบเขตของการผ่าตัด
- วิธีการผ่าตัด แพทย์จะทำแผลซ่อนบริเวณแนวไรผม หน้าใบหู และบางครั้งอาจขยายไปหลังใบหู แล้วทำการยกกระชับชั้นผิวหนังและเนื้อเยื่อชั้นลึกก่อนเย็บปิดอย่างประณีต
- การใช้ยาสลบหรือยาชา ปัจจุบันสามารถเลือกดึงหน้าโดยใช้เทคนิคยาชา หรือดมยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์ได้ สามารถปรึกษาศัลยแพทย์ก่อนรับการผ่าตัด
การฟื้นตัวหลังดึงหน้า
- ระยะพักฟื้น โดยทั่วไป คนไข้สามารถกลับไปทำกิจวัตรเบา ๆ ได้ภายใน 2 สัปดาห์ แต่การบวมหรือช้ำอาจใช้เวลาหายสนิทประมาณ 1-2 เดือน
- การดูแลหลังผ่าตัด แพทย์อาจให้ใส่ผ้ายืดรัดหน้า เพื่อลดอาการบวม และควรนอนยกศีรษะสูงในช่วงแรกหลังการผ่าตัด
- การกลับไปทำงาน ส่วนใหญ่สามารถกลับไปทำงานได้ภายใน 1 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับประเภทของงานและความเร็วในการฟื้นตัว
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นและวิธีป้องกัน
ถึงแม้การดึงหน้าจะเป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยสูง แต่ก็ยังมีความเสี่ยง เช่น
- อาการบวม ช้ำ เจ็บ
- การติดเชื้อ
- อาการชาในบางบริเวณชั่วคราว
ค่าใช้จ่ายในการดึงหน้า
ค่าใช้จ่ายในการดึงหน้าแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น- ความเชี่ยวชาญของแพทย์ หนึ่งในปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคาค่าดึงหน้าอย่างมีนัยสำคัญคือ ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด ศัลยแพทย์ที่มีชื่อเสียง ได้รับการรับรองจากสถาบันแพทย์เฉพาะทาง และมีประสบการณ์ตรงในด้านศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าโดยเฉพาะ มักจะคิดค่าบริการในอัตราที่สูงกว่าแพทย์ทั่วไป ซึ่งสะท้อนถึงระดับความปลอดภัย ความแม่นยำ และความมั่นใจในผลลัพธ์ที่สวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ
- แพทย์ที่เชี่ยวชาญมักผ่านการอบรมจากต่างประเทศ หรือได้รับวุฒิบัตรเฉพาะทางด้าน Facial Plastic Surgery
- มีผลงานรีวิวจากคนไข้จริงจำนวนมาก
- เทคนิคที่ใช้ (ดึงหน้าชั้นตื้น vs ดึงหน้าชั้นลึก)
- การใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น Deep Plane Facelift หรือ SMAS Lift ซึ่งต้องอาศัยทักษะและประสบการณ์เฉพาะด้าน การเลือกแพทย์ที่เชี่ยวชาญอาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าในระยะสั้น แต่สามารถลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ดูไม่โป๊ะ และลดโอกาสต้องแก้ไขซ้ำในอนาคต จึงถือเป็นการลงทุนในความปลอดภัยและความงาม ที่คุ้มค่าในระยะยาว
- โรงพยาบาลหรือคลินิกที่ให้บริการ

รีวิวประสบการณ์จริง: ดึงหน้าครั้งเดียวจบหรือไม่?
จากประสบการณ์ของผู้ที่เคยเข้ารับการดึงหน้าจำนวนมาก พบว่า- ผู้ที่เลือกทำ ดึงหน้าชั้นลึก (Deep Plane Facelift) มักได้ผลลัพธ์ที่คงทน และพึงพอใจสูงสุด
- ส่วนมากรายงานว่าใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลงไปได้ถึง 10-15 ปี และเมื่อดูแลตัวเองดี ๆ ผลลัพธ์ก็อยู่ได้นานกว่านั้น
- หลายคนเลือกทำหัตถการเสริมเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น เลเซอร์ยกกระชับร่วมกับการฉีดยาบำรุงกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อช่วยคงความอ่อนเยาว์ต่อเนื่อง
สรุป ดึงหน้าครั้งเดียวจบไหม?
คำตอบ คือ เกือบจบได้!
การดึงหน้าชั้นลึกสามารถให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานถึง 10-15 ปี ซึ่งถือว่า ครั้งเดียวคุ้ม มาก ๆ เมื่อเทียบกับการทำหัตถการเล็ก ๆ บ่อยครั้ง แต่การดูแลตัวเอง และการเสริมศัลยกรรมจุดเล็ก ๆ เช่นรอบดวงตา หรือการฟื้นฟูผิว ยังมีบทบาทสำคัญในการรักษาความอ่อนเยาว์ให้ยั่งยืนไปอีกนาน
สามารถรับชมรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ รีวิวศัลยกรรม ALINE Clinic หากอยากต้องการความชัวร์ก่อนตัดสินใจ สามารถแวะมาปรึกษาคุณหมอภูวิชที่ ALINE Clinic กันได้นะคะ หรือหากไม่สะดวกเดินทาง สามารถนัดคิวปรึกษากับคุณหมอภูวิชผ่านทางออนไลน์ก็ได้ด้วยเช่นกัน โดยสามารถจองคิวนัดหมายคุณหมอได้ที่ LINE Official ของคลินิกโดยตรง คลิกเลย @alineclinic นะคะ
FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ หน้าแก่ ดึงหน้าครั้งเดียวจบไหม?
- ดึงหน้าครั้งเดียวจบจริงหรือไม่? การดึงหน้าชั้นลึกสามารถให้ผลลัพธ์ยาวนานถึง 10-15 ปี แต่การดูแลตัวเองและปัจจัยตามธรรมชาติจะมีผลต่อระยะเวลาที่ผลลัพธ์คงอยู่
- ต้องทำการศัลยกรรมรอบดวงตาควบคู่ไหม? ถ้ามีปัญหาหนังตาตกหรือถุงใต้ตาชัดเจน การทำศัลยกรรมรอบดวงตาควบคู่จะช่วยให้ผลลัพธ์ดูสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
- หลังดึงหน้าจำเป็นต้องทำเลเซอร์หรือฟื้นฟูผิวอีกไหม? แนะนำให้ทำ เพื่อช่วยรักษาคุณภาพผิวและเสริมความกระชับในระยะยาว
- ดึงหน้าแล้วจะมีแผลเป็นไหม? มีแผลเป็นบ้าง เพียงเส้นบาง ๆ แต่จะถูกซ่อนอยู่ในแนวไรผมและหลังใบหู ทำให้ไม่สังเกตเห็นได้ง่าย การดึงหน้าเทคนิคที่ดีจะลดโอกาสการเกิดแผลเป็นนูนคือคีลอยด์ได้ นอกจากนี้การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดที่ดีก็ช่วยลดโอกาสการเกิดแผลเป็นได้เช่นกัน
- อายุเท่าไหร่ถึงควรเริ่มดึงหน้า? โดยทั่วไป เริ่มตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป หรือเมื่อเริ่มเห็นสัญญาณของความหย่อนคล้อยชัดเจน
- การดึงหน้ามีผลข้างเคียงอะไรบ้าง? อาจมีอาการบวม ช้ำ และชาในบางบริเวณ ซึ่งมักจะหายไปภายในไม่กี่สัปดาห์